วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Glutathione กลูต้าไธโอน
กลูต้าหน้าขาว วลีฮิตติดปาก กินกลูต้า ฉีดกลูต้าแล้วจะขาว!! จริงป่ะ?? 

Glutathione คืออะไร
กลูต้าไธโอนเป็นโมเลกุลที่มีความสำคัญต่อร่างกายของเรา ทำให้ร่างกายแข็งแรงและปราศจากโรค มีรายงานวิจัยทางการแพทย์มากมายเกี่ยวกับ Glutathione มีคำกล่าวเกี่ยวกับกลูต้าไธโอนว่าเป็นเจ้าแม่ของสารต้านอนุมูลอิสระ " mother of all antioxidant"เป็นที่กล่าวขวัญขนาดนี้ไม่รู้จักไม่ได้แล้ว... ข่าวดีก็คือ Glutathione เป็นโมเลกุลที่ร่างกายสร้างได้เอง แต่...การกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ มลภาวะ สารพิษ คามเครียด อายุ ส่งผลให้ระดับกลูต้าไธโอนในร่างกายเราลดปริมาณลง (จากกราฟจะเห็นว่าระดับกลูต้าไธโอนในร่างกายจะลดระดับลงเรื่อยๆเมื่อย่างเข้าวัยยี่สิบ โดยลดปริมาณลง 10-15% ทุกๆ 10 ปี การลดลงอาจเพิ่มขึ้นหากมี oxidative stress เพิ่มสูงขึ้น) โมเลกุลของกลูต้าไธโอนเกิดจากการเชื่อมกันของกรดอะมิโนสามชนิดคือ cysteine, glycine และ glutamate

Glutathione กับความขาว
เมื่อพูดถึงความขาวก็ต้องย้อนไปที่ กลไกการสร้างเม็ดสี เม็ดสีหรือเมลานินในร่างกายแบ่งออกเป็นสองชนิดคือ Eumelanin(เม็ดสีน้ำตาล) และ Pheomealnin (เม็ดสีขาวอมชมพู) โดยกระบวนการสร้างเม็ดสีอาศัยสารตั้งต้นคือกรดอะมิโน tyrosine โดยมีเอนไซม์tyrosinase เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ถ้าในร่างกายมีปริมาณ Glutathione มาก ปฏิกิริยาจะเกิดมาทาง cysteinyl DOPA ส่งผลให้การสร้าง Pheomelanin หรือเม็ดสีขาวชมพูเพิ่มขึ้น

Glutathione ฉีด หรือกินดี
การเพิ่มปริมาณ Glutathione โดยวิธีรับประทานนั้นพบว่าได้ผลไม่ดีนัก เรียกว่าแทบไม่ได้ผลเลย เพราะ Glutathione มีการดูดซึมน้อยมาก แล้วการฉีดล่ะ จริงๆยาฉีด Glutathione มีที่ใช้มานานแล้วแต่ใช้รักษาโรค ไม่ได้ใช้เพื่อฉีดผิวขาว เนื่องจากกลูต้าไธโอนไม่คงตัวในกระแสเลือด การฉีดกลูต้าไธโอนให้ผิวขาวให้เห็นผลต้องฉีดบ่อย  2 ครั้ง/สัปดาห์ โดยเป็นการฉีดเข้ากระแสเลือด ย้ำๆค่ะว่าอันตราย ถ้าหากมีอาการแพ้ยา อาจถึงขั้นช๊อค เสียชีวิตได้ นอกจากนี้การฉีดบ่อยๆอาจส่งผลต่อเม็ดสีในจอตาลดลง มีปัญหาในการรับแสงได้
แล้วเราจะเพิ่มระดับกลูต้าไธโอนได้อย่างไรล่ะ ...
คำตอบก็คือเราต้องรับประทานอาหารที่ช่วยส่งเสริมกระบวนการสร้าง Glutathione ในร่างกายได้แก่
1.รับประทานอาหารที่มี ซัลเฟอร์สูง (sulfur-rich foods) พบมากในกระเทียม หอมใหญ่และพืชกลุ่มกะหล่ำ
2.Bioactive whey protein เป็นแหล่งอะมิโน cysteine ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ glutathione  โดยเน้นว่า Whey protein นั้นต้องเป็น bioactive และได้มาจาก non-denatures peoteins เท่านั้น
3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
4. N-acetyl-cysteine
5. Alpha lipoic acid
6. Methylation nutrients (folate and vitamins B6 and B12) มีส่วนช่วยการสร้างกลูต้าไธโอน
7. Selenium ช่วยส่งเสริมการสร้างกลูต้าไธโอนและกระบวนการนำกลูต้าไธโอนกลับมาใช้ใหม่
8. vitamins C and E
9. Milk thistle (silymarin)
อ้างอิง
(i) De Rosa SC, Zaretsky MD, Dubs JG, Roederer M, Anderson M, Green A, Mitra D, Watanabe N, Nakamura H, Tjioe I, Deresinski SC, Moore WA, Ela SW, Parks D, Herzenberg LA, Herzenberg LA. N-acetylcysteine replenishes glutathione in HIV infection. Eur J Clin Invest. 2000 Oct;30(10):915-29
(ii) Nuttall S, Martin U, Sinclair A, Kendall M. 1998. Glutathione: in sickness and in health. The Lancet 351(9103):645-646


มะหาด ครีมผิวขาวที่มาแรงที่สุดในตอนนี้ ช่วยทำให้ผิวขาวจริงๆหรือ?? เป็นที่ทราบกันดีว่าการที่ผิวจะสีเข้มหรืออ่อนนั้นขึ้นกับประมาณเม็ดสีในผิว เม็ดสีหรือเมลานินนั้นถูกสร้างโดยมีกรดอะมิโน Tyrosine เป็นสารตั้งต้น และมีเอนไซม์ Tyrosinase ช่วยในการเกิดปฏิกิริยา  ในแก่นมะหาด(Artocarpus lakoocha) มีสาร oxyresveratrol ซึ่งสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ส่งผลให้การสร้างเมลานิน(เม็ดสี)ลดลง ผิวขาวขึ้น  มีการทดลองเปรียบเทียบการใช้สารสะกัดมะหาดเทียบกับสารสกัด licorice และ kojic acid  ที่ความเข้มข้นเท่ากัน พบว่าสารสกัดจากมะหาดช่วยให้ผิวขาวขึ้นใน 4 สัปดาห์ ขณะที่ licorice และ kojic acid ต้องใช้เวลา 6-10 สัปดาห์ โดยประสิทธิภาพการดูดซึมของมะหาดจะดีขึ้นถ้าอยู่ในรูป oil in water emulsion และต้องมีความเข้มข้นของ oxyresveratrol มากกว่า 80 % ขึ้นไปถึงจะมีประสิทธิภาพยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ tyrosinase จากข้อสรุปนี้มะหาดทำให้ขาวขึ้นจริงค่ะ แต่ก็ต้องเลือกรูปแบบและความเข้มข้นที่เหมาะสมนะคะ ข้อด้อยของครีมมะหาดคือเรื่องความคงตัว ถ้าครีมเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มประสิทธิภาพก็จะลดลง โดยทั่วไปมักใช้ได้ไม่เกิน 6 เดือน
 
 
 

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วิตามิน C


วิตามิน C (ascorbic acid) เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ วิตามินซีมีส่วนช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในกระดูก กล้ามเนื้อและหลอดเลือด ช่วยส่งเสริมการดูดซับธาตุเหล็ก ปกติร่างกายเราได้รับวิตามินซีจากผักและผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้เปรี้ยวๆเช่น ส้ม  ถ้าร่างกายเราขาดวิตามินซีจะทำให้เป็นโรคลักปิดลักเปิด (Scurvy) การรับประทานวิตามินซีเพื่อรักษาอาการหวัด ป้องกันหวัด ในปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดปริมาณวิตามินซีที่แนะนำให้รับประทาน(U.S. Food and Nutrition Board of the Institute of Medicine )สำหรับผู้ใหญ่ที่มีอายุ> 18 ปี คือ 90 mg/วัน โดยไม่ควรรับประทานเกิน 2,000 mg/วัน ในช่วงที่เป็นหวัดอาจรับประทานเพิ่มเป็น 3,000 mg/วัน เมื่อพูดถึงวิตามินซี แบรนด์แรกๆที่นึกถึงคือ  BIO C ของ Blackmores ใน 1 เม็ดของ BIO C ประกอบด้วย ascorbic acid 400 mg, Sodium ascorbate  350 mgและ Calcium ascorbate 400 mg  ??? หลายๆคนคงสงสัยว่า sodium ascorbate กับ calcium ascorbate เจ้าสองตัวนี้มันคืออะไร สองตัวนี้คือเกลือของวิตามินซีค่ะ การนำวิตามินซีมาผสมกับ Na(โซเดียม) และ Ca(แคลเซียม) ก็เพื่อลดความเป็นกรดของวิตามินซีลง อาการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารก็จะลดลง ใน 1,000 mg ของ sodium ascorbate จะมี Na อยู่ 111 mg ดังนั้นใน Sodium ascorbate 350 mg จะมี ascorbic acid อยู่ 311.15 mg ส่วน calcium ascorbate  1,000 mg นั้น จะมี Ca 90 -110 mg, ascorbic acid 890-910 mg ดังนั้น calcium ascorbate 400 mg จะมี ascorbic acid ประมาณ 360 mg โดยสรุปหากเราทาน BIO C ของ Blackmores 1เม็ด เราจะได้วิตามินซีจาก ascorbic acid โดยตรง 400 mg และได้วิตามินซีจากเกลือวิตามินซีอีก 600 mg Nat C จากค่าย Mega ประกอบด้วย ascorbic acid 300 mg , Sodium ascorbate 353 mg, Calcium ascorbate 412 mg โดยรวมๆก็ได้วิตามินซี ประมาณ 1,000 mg   วิตามินซี ขององค์การเภสัช เม็ดละ 500 mg แต่ไม่มีรายละเอียดว่าเป็นส่วนของวิตามินซีและเกลือวิตามินซีอย่างละกี่มิลลิกรัม  วิตามินซีของ DHC ตัวนี้ยังไม่มีขายในเมืองไทย ขนาดเม็ดจะเล็กกว่าแบรนด์อื่นทานง่ายกว่า


นอกจากวิตามินซีและเกลือวิตามินซีแล้ว ในวิตามินซีเม็ดยังมีส่วนประกอบของ Bioflavonoids ซึ่งเป็น Polyphenolic compounds สารตัวนี้มีส่วนช่วยในการดูดซึมของวิตามินซีเข้าสู่ร่างกายเรา

โดยสรุปปริมาณวิตามินซีที่แนะนำให้รับประทาน(U.S. Food and Nutrition Board of the Institute of Medicine )สำหรับผู้ใหญ่ที่มีอายุ> 18 ปี คือ 90 mg/วัน โดยไม่ควรรับประทานเกิน 2,000 mg/วัน ควรเลือกรับประทานวิตามินซีที่มีส่วนประสมของวิตามินซีและเกลือวิตามินซี เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากวิตามินซีเพียวๆ

การรับประทานวิตามินซี แนะนำให้รับประทานพร้อมอาหาร

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วิตามิน A

        วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ร่างกายของเราได้รับวิตามินเอ ในรูปของ retinoids และ Provitamin carotenoids     Retinoidได้จากการรับประทานเนื้อสัตว์ ส่วนProvitamin carotenoids นั้นได้จากพืชที่มี beta-carotene เช่น แครอท ผักใบเขียว วิตามินเอจากสัตว์จะอยู่ในรูปวิตามินร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เลย ต่างจาก Pro-vitamin carotenoids ที่ต้องอาศัยกระบวนการในร่างกายเปลี่ยนให้เป็นวิตามินเอก่อนที่ร่างกายจะนำไปใช้ได้  วิตามินเอมีส่วนสำคัญในการบำรุงดวงตาและการทำงานของเซลล์ อาการที่บ่งชี้ว่าเราอาจมีภาวะขาดวิตามินเอ ได้แก่ การมีปัญหาด้านการมองเห็นช่วงกลางคืน (night blindness) ตาแห้ง ฯลฯ ในแต่ละวันร่างกายเราต้องการวิตามินเอ 3,000 IU(ผู้ชาย) และ 2,300 IU (ผู้หญิง) ; IU = international units ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมส่วนใหญ่จะไม่ได้ขายวิตามินเอเดี่ยวๆ มักจะอยู่ในรูปแบบผสมวิตามินหลายๆอย่างเข้าด้วยกันโดยมีวิตามินเอเป็นส่วนประกอบ ส่วนใหญ่มักไม่เกิน 5,000 IU ซึ่งเพียงพอต่อการรับประทานเป็น supplement  การได้รับวิตามินเอมากกว่า 25,000 IU อาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงเช่น มีอาการปวดศีรษะ อ่อนแรง ผมร่วง ผิวแห้ง อีกข้อควรระวังก็คือการรับประทานวิตามินเอขณะรับประทานยาที่มีส่วนประกอบของวิตามินเอ เช่น ยารักษาสิว accutane เพราะอาจทำให้ได้รับวิตามินเอเกินขนาดได้